Last updated: 31 ส.ค. 2568 |
ไทยแลกด้วยอะไรกว่าจะได้อัตราใหม่ "ภาษีทรัมป์" เท่ากัมพูชาที่ 19%
อัตราภาษีแบบต่างตอบโต้ หรือ Reciprocal Tariff เป็นมาตรการด้านการค้าระหว่างประเทศที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ นำมาใช้ โดยมีหลักคิดคือ การปฏิบัติตามกัน กล่าวคือ หากประเทศคู่ค้าเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ สูง สหรัฐฯ ก็จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศนั้น ๆ ในอัตราที่ใกล้เคียง เพื่อสร้างแรงกดดันและบังคับให้คู่ค้ากลับมาเจรจาในเงื่อนไขที่ สหรัฐฯ มองว่า ยุติธรรม มาตรการนี้สะท้อนแนวทาง America First ที่มุ่งให้ประโยชน์ของประเทศและแรงงานอเมริกันมาก่อน ประเทศอื่น ๆ
สำหรับประเทศไทย การถูกกำหนดภาษีที่ 19% เท่ากับกัมพูชา แม้จะลดลงจากเดิม 36% แต่ยังถือว่าสูงเมื่อเทียบกับประเทศที่มี FTA กับ สหรัฐฯ ผลกระทบที่เห็นได้ชัดคือผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้น ความสามารถในการแข่งขันลดลง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ยังดีกว่าภาษี 36% ที่แทบปิดประตูการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ มาตรการนี้จึงกลายเป็นแรงกดดันให้ไทยต้องเร่งปรับโครงสร้าง เพิ่มมูลค่าสินค้า และหาตลาดใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดเดียวมากเกินไป
การประกาศจากทำเนียบขาวครั้งล่าสุดสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลก โดย สหรัฐฯ ภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดอัตราภาษี นำเข้าสำหรับสินค้าไทยและกัมพูชาที่ 19% ลดลงจากเดิม 36% มีผลบังคับใช้กับสินค้าที่นำเข้าเพื่อบริโภคภายใน 7 วันหลังประกาศ มาตรการนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดัน 2 ประการ ได้แก่ การเจรจาการค้าเพื่อเปิดตลาดตามเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ต้องการ และการแทรกแซงการเมือง จากสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งเพิ่งบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อกรกฎาคม โดยทรัมป์ได้แสดงบทบาทสำคัญ ทั้งการโทรศัพท์ถึง ฮุน มาเนต และ ภูมิธรรม เวชยชัย พร้อมประกาศว่าหากไม่หยุดยิง สหรัฐฯ จะไม่ทำข้อตกลงใด ๆ ทั้งสิ้น
ไทยซึ่งมีดุลการค้าเกินดุลต่อสหรัฐฯ กว่า 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.5 ล้านล้านบาท) ในปี 2024 จึงตกอยู่ในภาวะต้องตัดสินใจ อย่างรอบคอบว่าจะยอมแลกอะไรเพื่อรักษาตลาดสำคัญนี้
ฝั่งไทยตอบสนองในเชิงบวก โดย พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ระบุว่า อัตรา 19% แสดงถึงความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับ สหรัฐฯ และยังช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขัน พร้อมเปิดโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ นายพิชัยกล่าวขอบคุณ ทีมไทยแลนด์ และย้ำว่า นี่เป็นเพียงก้าวแรก รัฐบาลเตรียมมาตรการรองรับผู้ประกอบการ เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เงินอุดหนุน มาตรการภาษี และการปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มั่นคง
แม้ผลลัพธ์จะไม่ต่ำกว่าที่คาดหวัง แต่การคงอัตรา 19% ก็ยังถือเป็นการประนีประนอมที่รักษาความได้เปรียบของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ได้
การลดภาษีครั้งนี้มาพร้อมเงื่อนไข ไทยต้องยกเว้นภาษีศุลกากรบางรายการสินค้าจากสหรัฐฯ โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก:
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญคือ สินค้าสวมสิทธิ์ หากตรวจพบว่าสัดส่วนการผลิตในไทยต่ำกว่า 40% จะถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 40% ตามมาตรฐานที่สหรัฐฯ ใช้ทั่วโลก เช่นในกรณีเมียนมาและลาว ไทยจึงต้องเร่งแก้ไขช่องโหว่นี้ เพื่อไม่ให้สูญเสียประโยชน์จากอัตราภาษีใหม่
นายพิชัยย้ำว่า แม้อัตรา 19% อาจยังสูง แต่ก็ถือเป็นการประนีประนอมที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ และยังคงรักษาความสามารถการแข่งขันของไทยในตลาดโลก